วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel)
• ตรงเหนือประตูทางเข้า The Great Hypostyle Hall มีรูปสลักของเทพเหยี่ยว รูปของ Ramses II ยืนตรงข้างละ 4 องค์ ตามผนังเขียนประวัติด้วยภาษา Hieroglyphics ถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ บนเพดานหินมีการสลักรูปเทพโอริซิส ฝาผนังทุกด้าน ถูกแกะสลักเป็นรูปฟาโรห์รามเสสที่สอง
• ห้องชั้นในสุด มีรูปหินแกะสลัก 4 องค์ประดิษฐานอยู่ คือ เทพเจ้า Amon, Ramses II, Hamakis และ Ptah ในแต่ละปีจะมีอยู่ 2 วันคือวันที่ 21 มีนาคม และ 21 กันยายน เวลา 5.58 น.แสงอาทิตย์จะส่องผ่านประตูทางเข้ามา ส่องแสงไปที่ Amon และ Ramses II ก่อน แล้วจะค่อยๆเลื่อนไปที่ Hamakis จะส่องสว่างอยู่ประมาณ 20 นาที โดยจะไม่มีแสงส่องไปที่เทพเจ้า Ptah เลย เพราะเทพเจ้า Ptah คือเทพเจ้าแห่งความมืด
• ทางซ้ายจะมีวิหารที่สร้างไว้ติดๆ กันคือ วิหารที่ Ramses II สร้างเอาไว้เป็นอนุสรณ์แด่พระนาง Nefertari พระราชินีที่พระองค์รักและโปรดมากที่สุด มีรูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่สองในท่ายืนสี่รูป สลับกับรูปสลักของราชินีเนเฟอร์ทารี่ในท่ายืนอีกสองรูป ตรงตำแหน่งเท้า มีรูปสลักของโอรสและธิดา
• แม้วิหารมีขนาดใหญ่ แต่ก็ถูกทรายจากทะเลทรายพัดมากลบทีละเล็กละน้อยตลอดระยะเวลาพันๆ ปีจนมิด จนกระทั่งฝรั่งนักท่องเที่ยวชาวสวิสมาค้นพบเข้าเมื่อปี ค.ศ. 1813 คือประมาณร่วม 189 ปี มาแล้ว และเมื่อราว ค.ศ. 1964 ก็หวิดจะสาบสูญอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้จะจมลงไปใต้น้ำ เพราะหลังจากอียิปต์สร้างเขื่อนกั้นน้ำอัสวานแล้ว น้ำในทะเลสาบนัสเซอร์สูงขึ้น ต้องหาทางช่วยยกขึ้นหนีน้ำ องค์การยูเนสโกของสหประชาชาติ ได้ยื่นมือเข้ามาช่วย โดยใช้เงินถึง 40 ล้านดอลลาร์ จ้างคณะวิศวกร และคนงานออกแบบตัดวิหารออกเป็น 1,050 ส่วน แต่ละส่วนหนักเป็นสิบๆ ตัน แล้วยกขึ้นไปประกอบกันใหม่สูงจากระดับเดิมถึง 215 ฟุต โดยสร้างภูเขาเทียมรูปโดม (เป็นโพรงด้านใน) ด้วยคอนกรรีตเสริมใยเหล็กให้เมือนเดิมทุกประการ แล้วเอาชิ้นส่วนที่ตัดมาประกอบเข้าทั้งภายนอกและภายใน เหมือนจริงมาก แม้รอยต่อระหว่างชิ้นก็มองไม่เห็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น